ความรู้สู่ประชาชน

อาการเลือดออกมากแค่ไหน จึงควรไปพบแพทย์

รศ.นพ.รุ่งโรจณ์ เนตรศิรินิลกุล

ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

   อาการเลือดออกเป็นหนึ่งในอาการที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวันของคนทั่วไป โดยอาการเลือดออกส่วนใหญ่มักสัมพันธ์กับอุบัติเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะรอยช้ำตามแขนขา ซึ่งสามารถพบได้เด็กได้มากถึงเกือบร้อยละ 20 ของทั่วไป นอกจากรอยช้ำแล้ว อาการเลือดกำเดาไหลบ่อย ๆ ก็พบได้มากถึงร้อยละ 25 ในเด็กทั่วไป และภาวะประจำเดือนออกมากก็พบได้เกือบร้อยละ 50 ของผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์ทั่วไป และอาการเลือดออกทั้ง 2 อย่างหลังยังเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดภาวะซีดได้ด้วย จะเห็นได้ว่าอาการเลือดออกเป็นอาการที่สำคัญและไม่ควรมองข้าม เพราะอาจเป็นอาการนำของโรคเลือดออกผิดปกติแต่กำเนิดบางชนิด เช่น โรคฮีโมฟิเลียและโรควอน วิลลิแบรนด์ เป็นต้น อย่างไรก็ดีเนื่องจากอาการเลือดออกดังกล่าวก็สามารถพบได้ในคนปกติที่ไม่ได้เป็นโรคเลือดออกผิดปกติแต่กำเนิด จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ควรทราบว่าอาการเลือดออกมากแค่ไหนที่สมควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจและประเมินเพิ่มเติม

อาการเลือดออกที่ควรสงสัยว่าอาจเกิดจากโรคเลือดออกผิดปกติ   

          หากมีอาการเลือดออกในลักษณะต่อไปนี้ให้สงสัยว่าอาจเกิดจากโรคเลือดออกผิดปกติแต่กำเนิด สมควรที่จะไปพบแพทย์

 

          1.รอยช้ำหรือเลือดคั่ง (ห้อเลือด) ที่เกิดขึ้นเองหรือมีอาการรุนแรงทั้งที่ได้รับอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อย โดยเฉพาะถ้ารอยช้ำหรือเลือดคั่งมีขนาดใหญ่กว่าเหรียญ 1 บาท รวมถึงจุดเลือดออกสีแดงตามผิวหนังที่มีลักษณะคล้ายการจุดด้วยปากกาแดงที่ผิวหนัง (รูปที่ 1)

รูปที่ 1 เลือดคั่งที่คอ

 

2.เลือดออกจากแผลหรือเลือดออกตามไรฟันที่ออกนานกว่า 5 นาที แม้จะทำการกดแผลเพื่อห้ามเลือดแล้ว (รูปที่ 2)

รูปที่ 2 เลือดออกตามไรฟัน

3.เลือดกำเดาไหลที่ออกนานกว่า 10 นาที หรือมีเลือดกำเดาไหลมากกว่า 5 ครั้งต่อปี โดยที่ไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน

4.ประจำเดือนที่ออกนานกว่า 7 วันหรือมีประจำเดือนมากจนต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยถี่กว่าทุก 2 ชั่วโมง หรือพบลิ่มเลือดที่มีขนาดใหญ่กว่าเหรียญ 10 บาทในผ้าอนามัย

5.มีเลือดออกซ้ำหลังการถอนฟันหรือผ่าตัดที่เกิดภายใน 7 วัน

6. มีอาการเลือดออกดังต่อไปนี้ ได้แก่ อาการอาเจียนมีเลือดปน ถ่ายอุจจาระมีเลือดปน ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำลักษณะคล้ายยางมะตอยโดยที่ไม่ได้กินยาธาตุเหล็ก ปัสสาวะสีแดง อาการข้อบวมและเจ็บโดยที่ไม่มีไข้ อาการบวมที่แขนขาข้างใดข้างหนึ่งไม่ว่าจะมีรอยช้ำบนตำแหน่งที่บวมหรือไม่ และอาการไอเป็นเลือด ส่วนในเด็ก หากพบอาการเลือดออกจากตอสายสะดือที่หลุดหรือมีเลือดออกจากแผลเจาะเลือดก่อนออกจากโรงพยาบาลในเด็กทารกแรกเกิด หรือพบอาการเลือดออกเป็นปื้นแดงในตาขาวโดยไม่มีประวัตอุบัติเหตุ

7.มีประวัติคนในครอบครัวคนอื่น ๆ ที่มีอาการเลือดออกที่เข้าได้กับเกณฑ์ข้างต้น หรือมีคนในครอบครัวที่ได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคเลือดออกผิดปกติ 

8. มีประวัติเลือดออกจนเกิดภาวะซีดจนต้องได้รับการรักษาด้วยยาธาตุเหล็กหรือได้รับเลือดแดง

อย่างไรก็ดีแม้การมีอาการเลือดออกดังกล่าวข้างต้นเป็นสิ่งหนึ่งที่บ่งชี้ถึงโอกาสที่อาจเป็นโรคเลือดออกผิดปกติแต่กำเนิด แต่ยังมีสาเหตุอีกหลายอย่างที่อาจทำให้เกิดอาการเลือดออกมากผิดปกติได้เช่นกัน อาทิ

-การมีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคตับและโรคไตวายเรื้อรัง เป็นต้น

-การกินยาหรือสมุนไพรบางอย่าง

-การมีโรคที่บางตำแหน่งของร่างกาย เช่น คนที่เป็นโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ก็อาจมีเลือดกำเดาไหลบ่อย ๆ ได้จากการอักเสบของกลุ่มหลอดเลือดฝอยในโพรงจมูก

จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ควรแจ้งประวัติดังกล่าวให้แพทย์ทราบ เพื่อให้แพทย์สามารถทำการวินิจฉัยที่ถูกต้องและวางแผนการตรวจและประเมินเพิ่มเติมที่เหมาะสมต่อไป

 

ที่มา 1. Patel N, Maddalozzo J, Billings KR. An update on management of pediatric epistaxis. Int J Pediatr Otorhinolaryngol 2014;78(8):1400-4.

       2. O'Brien SH. An update on pediatric bleeding disorders: bleeding scores, benign joint hypermobility, and platelet function testing in the evaluation of the child with bleeding symptoms. Am J Hematol 2012;87 Suppl 1: S40-4.

      3. Nichols WL, Hultin MB, James AH, Manco-Johnson MJ, Montgomery RR, Ortel TL, Rick ME, Sadler JE, Weinstein M, Yawn BP. von Willebrand disease (VWD): evidence-based diagnosis and management guidelines, the National Heart, Lung, and Blood Institute (NHLBI) Expert Panel report (USA). Haemophilia 2008;14(2):171-232.

    4. Pakdeeto S, Natesirinilkul R, Komwilaisak P, Rand ML, Blanchette VS, Vallibhakara SA, Sirachainan N. Development of a Thai version of the paediatric bleeding assessment tool (Thai paediatric-BAT) suitable for use in children with inherited mucocutaneous bleeding disorders. Haemophilia 2017;23(6): e539-42.