การแปลผลความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดด้วยตนเอง
แพทย์หญิง ลลิตา นรเศรษฐ์ธาดา
เลือด เป็นของเหลว ประกอบด้วยเม็ดเลือดล่องลอยอยู่ในน้ำเหลืองหรือพลาสมา เลือดมีสีแดงเพราะมีปริมาณเม็ดเลือดแดงเป็นองค์ประกอบจำนวนมาก เลือดไหลเวียนอยู่ทั่วร่างกายทำหน้าที่ตัวกลางติดต่อระหว่างเซลล์ของร่างกาย ขนส่งออกซิเจนและอาหารไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายและนำคาร์บอนไดออกไซค์ไปขับออกทางปอด และนำของเสียต่างๆเพื่อขับออกทางไต นอกจากนี้เลือดยังเป็นระบบป้องกันด้วยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายและช่วยในการควบคุมอุณหภูมิของร่างกายอีกด้วย
การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (complete blood count, CBC) เป็นการตรวจปริมาณและลักษณะของเม็ดเลือดทั้งสามชนิด ได้แก่ เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด โดยเป็นการตรวจพื้นฐานทั้งเพื่อการตรวจร่างกายประจำปี และการตรวจเพื่อดูแลรักษาผู้ป่วย เนื่องจากมีการรายงานหลายค่าทำให้ประชาชนทั่วไปเมื่อได้รับผลการตรวจ CBC จะไม่สามารถอ่านรายงานได้เข้าใจด้วยตนเองได้ บทความนี้จึงจัดทำขึ้นเพื่อให้ผู้อ่านสามารถแปลผล CBCในเบื้องต้น เพื่อว่าหากพบความผิดปกติ จะสามารถนำไปปรึกษาแพทย์เพื่อรับการดูแลรักษาต่อไป
1. เม็ดเลือดแดง
เม็ดเลือดแดงมีรูปร่างคลายโดนัท เนื่องจากตรงกลางมีรอยบุ๋มแต่ไม่ทะลุตรงกลาง มีขนาดประมาณ 7 ไมครอน ถูกสร้างที่ไขกระดูก ซึงเป็นแกนกลางของกระดูกต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ภายในเม็ดเลือดแดงสารชื่อ ฮีโมโกลบิล ทำหน้าที่ในการนำออกซิเจนจากปอดไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และนำคาร์บอนไดออกไซค์จากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายไปขับออกที่ปอด ทำให้ในหลอดเลือดแดงที่เม็ดเลือดแดงมีระดับออกซิเจนปริมาณสูง เลือดจึงมีสีแดงสด ส่วนในหลอดเลือดดำที่เม็ดเลือดแดงมีปริมาณออกซิเจนลดลง และมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซค์สูงกว่า เลือดจึงมีสีแดงคล้ำ
การตรวจเม็ดเลือดแดง
ในรายงาน CBC จะแสดงผลการตรวจเม็ดเลือดแดงเป็น 4 ส่วน (ตารางที่ 1) ได้แก่
1.1 ระดับฮีโมโกลบิน (hemoglobin) เป็นการตรวจความเข้มข้นของระดับฮีโมโกลบินในเลือด เนื่องจากสารฮีโมโกลินอยู่ในเม็ดเลือดแดง ทำให้ระดับฮีโมโกลบินสัมพันธ์กันโดยตรงกับปริมาณเม็ดเลือดแดงในเลือดและปริมาตรเม็ดเลือดแดงอัดแน่น (hematocrit)เพศชายจะมีระดับฮีโมโกลบินสูงกว่าเพศหญิง (ตารางที่ 1)
- ระดับฮีโมโกลบินที่ลดลงแสดงถึงภาวะโลหิตจาง ซึ่งเกิดได้หลายสาเหตุ เช่น จากการเสียเลือด การขาดสารอาหารโดยเฉพาะธาตุเหล็กหรือวิตามินบี 12 และโฟเลท โรคเลือดทางพันธุกรรมเช่น ธัลลัสซีเมีย รวมถึงโรคของไขกระดูกทำให้ผลิตเม็ดเลือดแดงได้ลดลง ดังนั้น หากพบระดับฮีโมโกลบินที่ลดลง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อสืบค้นสาเหตุ และให้การรักษาอย่างเหมาะสมตามสาเหตุ การให้เลือดเป็นเพียงการแก้ไข้ภาวะโลหิตจางชั่วคราวในรายที่มีภาวะโลหิตจางรุนแรงเท่านั้น ไม่ได้รักษาสาเหตุของภาวะโลหิตจาง จึงควรสืบค้นหาสาเหตุเพื่อแก้ไขให้หายจากภาวะโลหิตจาง
- ส่วนระดับฮีโมโกลบินสูง พบได้ในภาวะขาดสารน้ำในร่างกาย หรือโรคเลือดข้นจากการขาดออกซิเจนเรื้อรังหรือไขกระดูกทำงานผิดปกติก็ได้
1.2 ปริมาตรเม็ดเลือดแดงอัดแน่น (hematocrit) เป็นการตรวจปริมาตรของเซลล์เม็ดเลือดแดงในเลือด ซึ่งมีความสัมพันธ์โดยตรงกับจำนวนเม็ดเลือดแดงในเลือดและระดับฮีโมโกลบิน สาเหตุที่ทำให้ระดับต่ำหรือสูงขึ้น มีสาเหตุเช่นเดียวกับปริมาณฮีโมโกลบินที่ผิดปกติไป ดังที่กล่าวข้างต้น
1.3 ปริมาณเม็ดเลือดแดง (red blood cell)เป็นปริมาณเม็ดเลือดแดงในเลือด เป็นค่าที่ตรวจนับได้โดยตรงจากเครื่องตรวจเลือดอัตโนมัติ มีความสัมพันธ์โดยตรงกับระดับฮีโมโกลบินและปริมาตรเม็ดเลือดแดงอัดแน่น สาเหตุที่ทำให้ระดับต่ำหรือสูงขึ้น มีสาเหตุเช่นเดียวกับปริมาณฮีโมโกลบินที่ผิดปกติไป ดังที่กล่าวข้างต้น
1.4 ดัชนีเม็ดเลือดแดง เป็นการตรวจขนาดและปริมาณของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ซึ่งเป็นค่าที่ตรวจได้จากเครื่องตรวจเลือดอัตโนมัติ มีความซับซ้อนในการแปลผล ไม่แนะนำให้อ่านค่าด้วยตนเอง หากพบความผิดปกติควรปรึกษาแพทย์ ได้แก่
- ปริมาตรของเม็ดเลือดแดง (mean corpuscular volume) เป็นปริมาตรหรือขนาดของเม็ดเลือดแดง สาเหตุที่พบบ่อยที่ทำให้เม็ดเลือดแดงมีปริมาตรลดลง ได้แก่ ภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กและโรคโลหิตจางธัลลัสซีเมีย ส่วนสาเหตุที่พบบ่อยที่ทำให้เม็ดเลือดแดงมีปริมาตรสูงขึ้น ได้แก่ ภาวะขาดวิตามินบี 12 หรือโฟเลท
- ปริมาณฮีโมโกลิบินในเม็ดเลือดแดง (mean corpuscular hemoglobin)เป็นปริมาณของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงแต่ละเซลล์ ซึ่งมีความสัมพันธ์โดยตรงกับปริมาตรของเม็ดเลือดแดง ทำให้ค่าที่เปลี่ยนแปลงขึ้นลงมีสาเหตุเช่นเดียวกัน
- ความเข้นข้นของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง (mean corpuscular hemoglobin concentration)เป็นความเข้มข้นของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงแต่ละเซลล์ ค่าที่ต่ำลงสัมพันธ์กับระดับฮีโมโกลบินและขนาดของเม็ดเลือดแดงที่ต่ำลง จึงมีสาเหตุเช่นเดียวกัน ส่วนค่าที่สูงขึ้นพบได้เมื่อปริมาตรของเม็ดเลือดแดง เช่น ภาวะที่เม็ดเลือดแดงเสียรูปโดนัทกลายเป็นลักษณะกลมแทน เช่น ภาวะโลหิตาจางจากภูมิต้านทานตนเอง เป็นต้น
ตารางที่ 1 ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (complete blood count)
ชนิดของเม็ดเลือด |
ชนิดของการตรวจ |
ค่าปกติในหญิง |
ค่าปกติในชาย |
เม็ดเลือดแดง |
ระดับฮีโมโกลบิน (hemoglobin, Hb) (กรัมต่อเดซิลิตร) |
12-15 |
13-17 |
|
ปริมาตรเม็ดเลือดแดงอัดแน่น (hematocrit, Hct) (%) |
36-45 |
38-50 |
|
ปริมาณเม็ดเลือดแดง (red blood cell, RBC) (ล้านเซลล์ต่อไมโครลิตร) |
3.9-5.0 |
4.3-5.7 |
|
ดัชนีเม็ดเลือดแดง ได้แก่ -ปริมาตรของเม็ดเลือดแดง (mean corpuscular volume, MCV) (เฟมโตลิตร) -ปริมาณฮีโมโกลิบินในเม็ดเลือดแดง (mean corpuscular hemoglobin, MCH) (พิคโคกรัม) -ความเข้นข้นของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง (mean corpuscular hemoglobin concentration, MCHC) (กรัมต่อเดซิลิตร) |
- 80-96
- 27.5-33.2
- 33.4-35.5 |
|
เม็ดเลือดขาว |
ปริมาณเม็ดเลือดขาว (white blood cell, WBC) (เซลล์ต่อไมโครลิตร) |
4,000-10,000 |
|
|
อัตราส่วนของเม็ดเลือดขาวแต่ละชนิดในเลือด - นิวโทรฟิลด์ (neutrophil) (%) - ลิมโฟไซด์ (lymphocyte) (%) - โมโนไซด์ (monocyte) (%) - อิโอซิโนฟิลด์ (eosinophil) (%) - เบโซฟิลด์ (basophil) (%) |
40-80 20-40 2-10 1-6 0-2 |
|
เกล็ดเลือด |
ปริมาณเกล็ดเลือด (platelet) (จำนวนต่อไมโครลิตร) |
150,000-450,000 |
2. เม็ดเลือดขาว
เม็ดเลือดขาวมีขนาดใหญ่กว่าเซลล์เม็ดเลือดแดง จำนวนเม็ดเลือดขาวปกติประมาณ 4,000 – 10,000 เซลล์ต่อ 1 ไมโครลิตร จำนวนเม็ดเลือดขามีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงสัมพันธ์กับภาวะการอักเสบติดเชื้อของร่างกาย ถูกสร้างจากไขกระดูก มีหน้าที่ทำลายเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย โดยจะใช้วิธีจับกินเชื้อโรคโดยตรง หรือผลิตาภูมิต้านทานซึ่งเป็นโปรตีนที่มีคุณสมบัติต่อต้านเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม
- ปริมาณเม็ดเลือดขาวต่ำลง โดยเฉพาะเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิลด์ ทำให้มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย สาเหตุที่ทำให้เม็ดเลือดขาวต่ำที่พบบ่อย ได้แก่ ยา สารเคมี รังสี ไวรัส และโรคของไขกระดูก เช่น ไขกระดูกทำงานผิดปกติ หรือไขกระดูกติดเชื้อหรือถูกแทรกซึมจากมะเร็ง เป็นต้น
- ปริมาณเม็ดเลือดขาวสูงขึ้น พบได้บ่อย ซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกายตอบสนองต่อภาวะอักเสบหรือติดเชื้อในร่างกาย ปริมาณที่เพิ่มขึ้นมักไม่สูงมาก โดยทั่วไปมักไม่เกิน 30,000 เซลล์ต่อไมโครลิตร นอกจากนี้ปริมาณที่เพิ่มขึ้นอาจพบได้ในโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งพบได้ทั้งเมื่อเม็ดเลือดขาวมีระดับต่ำจนถึงสูงมากผิดปกติ
เม็ดเลือดขาวแต่ละชนิดมีลักษณะและคุณสมบัติแตกต่างกัน ทำให้ปริมาณที่เพิ่มขึ้น เป็นผลต่อการตอบสนองของร่างกายต่อปัจจัยการกระตุ้นที่แตกต่างกัน
2.1 นิวโตรฟิล (Neutrophil)
เป็นเม็ดเลือดขาวที่มีปริมาณมากที่สุด พบได้ประมาณ 40–80 % ของเม็ดเลือดขาวทั้งหมด มีหน้าทีตอบสนองต่อภาวะการอักเสบและติดเชื้อเฉียบพลัยนโดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งร่างกายสามารถตอบสนองโดยการเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วและจับกินเชื้อโรคโดยตรง นอกจากนี้นิวโทรฟิลด์ยังหลั่งสารตอบสนองต่อการอักเสบหรือติดเชื้อทำให้ร่างกายมีไข้ในภาวะดังกล่าวนั่นเอง
2.2 ลิมไฟไซท์ (Lymphocyte)
เป็นเม็ดเลือดขาวขนาดเล็ก ทำหน้าที่สร้างภูมิต้านทานต่อทั้งเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย มีปริมาณสูงขึ้นในภาวะติดเชื้อไวรัส และโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวบางชนิด
2.3 โมโนไซท์ (Monocyte)
เป็นเม็ดเลือดขาวที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ทำหน้าที่ทำลายเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย ซึ่งมีประสิทธิภาพในการจับกินเชื้อโรคได้สูงกว่านิวโทรฟิลด์ มักมีปริมาณเพิ่มขึ้นตอบสนองต่อภาวะติดเชื้อไวรัส วัณโรค หรือเชื้อรา รวมถึงโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวบางชนิด
2.4 อิโอซิโนฟิลด์ (eosinophil)
เป็นเม็ดเลือดขาวที่มีปริมาณน้อยในกระแสเลือด ทำให้ที่ในการตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ ปริมาณสูงขึ้นพบได้ในผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้หรือหอบหือด แพ้ยา หรือมีพยาธิในร่างกาย
2.5 เบโซฟิลด์ (basophil)
เป็นเม็ดเลือดขาวที่มีปริมาณน้อยมากในเลือดทำหน้าที่สร้างสารป้องกันมิให้เลือดแข็งตัว และรวมทั้งหลั่งสารที่ช่วยในการขยายของหลอดเลือด
3. เกล็ดเลือด (platelet)
เกล็ดเลือดเป็นส่วนของเม็ดเลือด จึงมีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว ทำหน้าที่ป้องกันเลือดออกจากหลอดเลือด ช่วยในการหยุดไหลของเลือดหากมีเกิดบาดแผล มีจำนวนประมาณ หนึ่งแสนถึงสี่แสนตัวต่อเลือดหนึ่งไมโครลิตร เกล็ดเลือดถูกสร้างจากเซลล์ในไขกระดูกเช่นกัน หากมีปริมาณลดลง โดยเฉพาะระดับที่ลดลงมากกว่าห้าหมื่น จะทำให้เลือดออกมากและนานกว่าเลือดจะหยุดหากเกิดบาดแผล โดยเฉพาะหากระดับเกล็ดเลือดต่ำกว่าสองหมื่น จะทำให้เลือดออกเองโดยไม่ต้องมีบาดแผลหรือการกระทบกระแทกใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณเยื่อบุต่าง ๆ เช่น เลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาไหล หรือเลือดออกในอวัยวะสำคัญ ได้แก่ ทางเดินอาหาร หรือสมองได้
- เกล็ดเลือดต่ำ สามารถเกิดได้จาก ยา สารเคมี รังสี ภูมิต้านทานตนเองทำลายเกล็ดเลือด ไวรัส และม้ามที่โตผิดปกติ นอกจากนี้ยังพบได้ในโรคของไขกระดูกทำให้ผิดเกล็ดเลือดได้ลดลง เช่น ไขกระดูกทำงานผิดปกติหรือไขกระดูกฝ่อ โรคมะเร็งแทรกซึมในไขกระดูก เป็นต้น
- ภาวะเกล็ดเลือดสูง พบได้ในภาวะที่มีปัจจัยการกระตุ้นการสร้างเกล็ดเลือดให้มากขึ้น ได้แก่ การอักเสบหรือติดเชื้อเรื้อรัง การมีมะเร็งในร่างกาย การเสียเลือดหรือเม็ดเลือดแดงแตกเฉียบพลัน หากภาวะเกล็ดเลือดสูงเองโดยไม่มีปัจจัยใดมากระตุ้น มักเกิดจากโรคของไขกระดูกที่ทำให้มีการเกล็ดเลือดสูงขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
สรุป การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดเป็นการตรวจเลือดที่ทำบ่อยและอยู่ในการตรวจสุขภาพประจำปี หากพบมีความผิดปกติในเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง จะทำให้เข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาต่อไป