ความรู้สู่ประชาชน

             มะเร็งต่อมหมวกไตในเด็ก (Neuroblastoma)

ผศ.พญ. กลีบสไบ  สรรพกิจ สาขาวิชาโลหิตวิทยาและอองโคโลยี

ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

               โรคมะเร็งต่อมหมวกไตเป็นโรคมะเร็งก้อนเนื้อในเด็กที่พบได้บ่อย โดยมีอุบัติการณ์ประมาณ 5.8% ของโรคมะเร็งทั้งหมดที่พบในเด็ก (ข้อมูลจากการศึกษาของชมรมโรคมะเร็งเด็กแห่งประเทศไทย ระหว่างปีพศ.2546-2548 พบผู้ป่วยเด็กอายุน้อยกว่า15 ปีที่เป็นโรคมะเร็งทั่วประเทศไทย  2,792 ราย มีผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งต่อมหมวกไต 163 ราย)พบได้บ่อยในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี  อาการและอาการแสดงที่พบบ่อยคือ ก้อนในท้อง และต่อมน้ำเหลืองโต ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะเป็นโรคในระยะที่ 4  คือมีการกระจายของมะเร็งไปที่ตับ กระดูกและไขกระดูกทำให้มีอาการตับโต ปวดกระดูก มีไข้  ซีด  จุดเลือดออกตามตัวหรือเลือดออกผิดปกติที่อวัยวะต่างๆ เนื่องจากไขกระดูกไม่สามารถสร้างเม็ดเลือดได้ตามปกติเพราะถูกแทนที่ด้วยเซลล์มะเร็ง บางรายอาจมีอาการแขนขาอ่อนแรงจากก้อนมะเร็งกดทับเส้นประสาทไขสันหลัง หรือมีอาการเบื่ออาหาร  น้ำหนักลดร่วมด้วย 

การวินิจฉัยและจำแนกระยะของโรค อาศัยการตรวจเลือด ตรวจไขกระดูก ตรวจระดับของสารที่สร้างจากเนื้องอกในเลือดหรือปัสสาวะ ถ่ายภาพทางรังสี เอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์บริเวณช่องท้องเพื่อดูตำแหน่ง ลักษณะและขอบเขตของก้อน โดยจะพบก้อนที่ต่อมหมวกไตซึ่งอยู่ด้านบนของไต ถ่ายภาพสแกนกระดูก การตัดชิ้นเนื้อจากก้อนมาตรวจทางพยาธิวิทยาจะช่วยให้ได้การวินิจฉัยที่แน่นอน

             การรักษาโรคมะเร็งต่อมหมวกไตในเด็กต้องอาศัยการร่วมมือกันของบุคคลากรทางการแพทย์หลายฝ่ายการรักษาหลักคือการให้ยาเคมีบำบัดและการผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออก การฉายรังสีรักษาจะทำเฉพาะในรายที่มีก้อนมะเร็งเหลืออยู่หลังการผ่าตัด  นอกจากนี้ยังมีการรักษาตามอาการของผู้ป่วยขณะนั้น เช่น การให้เลือดและส่วนประกอบของเลือด การดูแลเรื่องของอาหารให้ถูกสุขลักษณะครบ 5 หมู่ และควรให้ความสำคัญด้านจิตใจของผู้ป่วยด้วยเพราะสภาพจิตใจจะส่งผลต่อการรักษาได้มาก พยากรณ์โรคขึ้นอยู่กับอายุของผู้ป่วย  ระยะของโรค ผลการตรวจทางพยาธิวิทยา และการตอบสนองต่อการรักษา ผู้ป่วยที่ตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะต้นจะได้ผลการรักษาที่ดีกว่าผู้ป่วยที่มีการแพร่กระจายของโรคไปอวัยวะอื่นแล้ว การร่วมมือกันดูแลผู้ป่วยของผู้ปกครองและแพทย์มีส่วนช่วยอย่างมากที่จะทำให้การรักษาประสบผลสำเร็จได้ดีและเกิดผลข้างเคียงกับผู้ป่วยน้อยที่สุด

หัวข้ออื่นที่น่าสนใจ